ทุกเรื่องที่พ่อแม่ต้องรู้เกี่ยวกับ รถเข็นเด็ก

baby stroller

ทุกเรื่องที่พ่อแม่ต้องรู้เกี่ยวกับ รถเข็นเด็ก

การเป็นพ่อแม่มือใหม่ อาจจะต้องตัดสินใจเลือกซื้อของให้ลูก 1081009 นั่นหมายความว่าคุณจำเป็นต้องตัดสินใจหลายสิบเรื่องใน 1 วัน รถเข็นเด็กอาจเป็นมากกว่าแค่เครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกเพื่อการเดินทาง แต่ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับ 1 

1. ความปลอดภัยของลูก:

  • โครงสร้าง: เลือกรถเข็นที่มีโครงสร้างแข็งแรง มั่นคง ไม่โยกเยก
  • ระบบเบรก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบเบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สายรัดนิรภัย: เลือกรถเข็นที่มีสายรัดนิรภัย 5 จุด ปรับระดับได้
  • วัสดุ: เลือกวัสดุที่ปลอดภัย ไม่เป็นพิษต่อเด็ก
  • มาตรฐานความปลอดภัย: เลือกรถเข็นที่มีมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ

2. สุขภาพของลูก:

  • ท่าทาง: เลือกรถเข็นที่รองรับสรีระของเด็ก ช่วยให้เด็กนั่งหรือนอนได้อย่างสบาย
  • เบาะรองนั่ง: เลือกเบาะรองนั่งที่นุ่ม ระบายอากาศได้ดี
  • หลังคา: เลือกรถเข็นที่มีหลังคาขนาดใหญ่ กันแดด กันฝน
  • การปรับเอน: เลือกรถเข็นที่สามารถปรับเอนพนักพิงได้หลายระดับ

3. การใช้งานในสถานที่ต่างๆ:

  • ขนาดและน้ำหนัก: เลือกรถเข็นที่มีขนาดและน้ำหนักเหมาะสมกับผู้ใช้งาน
  • การพับเก็บ: เลือกรถเข็นที่พับเก็บง่าย ประหยัดพื้นที่
  • ล้อ: เลือกรถเข็นที่มีล้อขนาดใหญ่ ทนทาน เหมาะกับสภาพถนน
  • ฟังก์ชั่น: เลือกรถเข็นที่มีฟังก์ชั่นครบครัน ตอบโจทย์การใช้งาน
  • ราคา: เลือกรถเข็นที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณ

4. กระตุ้นพัฒนาการของลูก:

  • การมองเห็น: เลือกรถเข็นที่เด็กสามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้
  • การสัมผัส: เลือกรถเข็นที่มีวัสดุหลากหลาย กระตุ้นการสัมผัส
  • การได้ยิน: เลือกรถเข็นที่มีของเล่นเสริมพัฒนาการ

5. ความสะดวกของพ่อแม่:

  • การพกพา: เลือกรถเข็นที่มีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • การทำความสะอาด: เลือกรถเข็นที่มีชิ้นส่วนถอดซักทำความสะอาดได้

การเลือกรถเข็นเด็ก เป็นสิ่งที่สำคัญ ควรเลือกให้เหมาะสมกับวัย ความต้องการ และการใช้งาน พ่อแม่ควร ศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบ และลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อ

เลือกรถเข็นเด็ก ให้เหมาะกับวัยและความต้องการ

baby stroller

1. วัยของลูก

  • 0 – 6 เดือน
    • ทารกแรกเกิดต้องการรถเข็นที่รองรับศีรษะและคอ 
    • ควรเลือกรถเข็นที่มีระบบปรับเอนนอนราบ 170 องศา
    • ทารกที่นอนราบในรถเข็น จะหลับสบายและร้องไห้น้อยกว่า
    • เลือกเบาะรองนั่งที่มีความหนานุ่ม ระบายอากาศได้ดี เพื่อป้องกันศีรษะแบน
  • 6 – 12 เดือน
    • ทารกเริ่มหัดนั่ง ควรเลือกรถเข็นที่ปรับนอนได้ 120 – 150 องศา
    • ทารกวัยนี้ควรนั่งในรถเข็นที่มีสายรัดนิรภัย 5 จุด เพื่อป้องกันการลื่นไถล
    • เลือกรถเข็นที่มีที่วางขา เพื่อรองรับการนั่งที่สบาย
  • 1 – 3 ขวบ
    • เด็กเริ่มเดินได้ ควรเลือกรถเข็นที่ปรับนอนได้ 90 – 120 องศา
    • เด็กเริ่มเล่นซนและเดินทางมากขึ้น ควรเลือกรถเข็นที่มีน้ำหนักเบา พับเก็บง่าย สะดวกต่อการพกพา
    • เลือกรถเข็นที่มีหลังคา เพื่อป้องกันแสงแดด ฝน และลม
  • 3 ขวบขึ้นไป
    • เด็กวัยนี้สามารถเดินได้เอง ควรเลือกรถเข็นแบบสปอร์ต เน้นความคล่องตัว
    • เป็นช่วงวัยที่ชอบเล่นสนุก ควรเลือกรถเข็นที่มีล้อใหญ่ รองรับแรงสั่นสะเทือน
    • เลือกรถเข็นที่มีตะกร้าเก็บของขนาดใหญ่ เพื่อเก็บของเล่น อาหาร และอุปกรณ์ต่างๆ

2. ความต้องการ

การใช้งาน:

  • ในห้างสรรพสินค้า เลือกรถเข็นที่มีขนาดกะทัดรัด พับเก็บง่าย
  • ลุยทางขรุขระ เลือกรถเข็นที่มีล้อใหญ่ รองรับแรงสั่นสะเทือน
  • เดินทางบ่อย เลือกรถเข็นน้ำหนักเบา พับเก็บได้สะดวก

ฟังก์ชั่น

  • หลังคาปรับระดับได้
  • ตะกร้าเก็บของขนาดใหญ่
  • สายรัดนิรภัย 5 จุด
  • เบาะรองนั่งระบายอากาศได้ดี

ใช้รถเข็นให้ปลอดภัยสำหรับลูกน้อย

baby stroller

ก่อนออกเดินทาง

  • รัดสายรัด: รัดลูกน้อยของคุณให้แน่นด้วยสายรัด 5 จุดของรถเข็น ปรับสายรัดให้กระชับพอดี ไม่แน่นจนอึดอัด และมั่นใจได้ว่าลูกน้อยจะไม่หลุดออก
  • ตรวจสอบเบรก: ตรวจสอบเบรกของรถเข็นให้แน่ใจว่าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนวางลูกน้อยลงในรถเข็น และทุกครั้งที่จอดรถเข็น
  • จัดพื้นที่ในรถเข็น: เก็บของเล่น กระเป๋า หรือผ้าห่มที่อาจกีดขวางการเคลื่อนไหวหรือการหายใจของลูกน้อยออกจากรถเข็น

ระหว่างการเดินเล่น

  • ป้องกันแสงแดด: ปกป้องลูกน้อยจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายโดยใช้รถเข็นที่มีหลังคาบังแดด หรือติดตั้งที่บังแดดเพิ่มเติม ทาครีมกันแดด และสวมเสื้อผ้าป้องกันแสงแดดให้ลูกน้อย
  • เตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศ: เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พกร่มหรือผ้าคลุมกันฝนติดตัวไปด้วย
  • เลือกรถเข็นให้เหมาะกับภูมิประเทศ: เลือกรถเข็นที่เหมาะกับพื้นผิวที่คุณจะไปเดินเล่น เช่น ทางเท้าเรียบ หรือทางขรุขระ
  • ระวังพื้นผิวร้อน: หลีกเลี่ยงการจอดรถเข็นกลางแดดเป็นเวลานาน เพราะพื้นผิวของรถเข็นอาจร้อนจนทำให้ลูกน้อยรู้สึกไม่สบาย

สิ่งอื่นที่ควรทำเพิ่มเติม

  • ลงทะเบียนรถเข็น: ลงทะเบียนรถเข็นกับผู้ผลิต เพื่อรับการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยและข้อมูลการเรียกคืน 
  • บำรุงรักษารถเข็น: ตรวจสอบรถเข็นเป็นประจำเพื่อดูว่ามีชิ้นส่วนที่หลวม ยางสึกหรอ หรือเบรกทำงานผิดปกติหรือไม่
  • ดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด: อย่าปล่อยลูกน้อยไว้ตามลำพังในรถเข็น ลูกควรอยู่ในสายตาของคุณเสมอ

อันตรายที่มาพร้อมกับรถเข็นเด็ก

baby stroller

แม้รถเข็นเด็กจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่แนวคิดเรื่อง “การเลี้ยงลูกด้วยรถเข็นเด็ก” กำลังสร้างความกังวลให้กับใครอีกหลายคน เพราะการใช้รถเข็นเด็กมากเกินไป อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กอย่างร้ายแรง

ใช้รถเข็นเด็กมากเกินไป

  • การพัฒนาทางกายภาพ
    การอยู่ในรถเข็นนานๆ อาจขัดขวางการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวของเด็ก เด็กเล็กต้องการโอกาสในการคลาน ม้วนตัว ดึงตัวขึ้น เดิน และสำรวจเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อ การประสานงานระหว่างสมองและอวัยวะต่างๆ รวมถึงการรับรู้เชิงพื้นที่
  • การพัฒนาทางสังคมและอารมณ์
    รถเข็นเด็กจำกัดปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อมและผู้คน เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น การสำรวจ และการสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน ซึ่งอาจถูกจำกัดในรถเข็น
  • การพัฒนาทางปัญญา
    เด็กเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสในการสำรวจ การนั่งเฉยๆ ในรถเข็นอาจจำกัดโอกาสในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัส ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาทางปัญญา
  • ความผูกพัน
    การใช้รถเข็นเด็กมากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก การเล่นที่กระฉับกระเฉง การโต้ตอบโดยตรง และการตอบสนองต่อสัญญาณของทารก

ใช้รถเข็นเด็กให้สมดุล

  • รถเข็นเด็กเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่บ้าน
    รถเข็นเด็กมีประโยชน์ในการเดินทาง แต่ไม่ควรเป็นสถานที่หลักของเด็กในการใช้เวลาอยู่ในนั้นนานเกินไป
  • ใช้งานอย่างมีจุดประสงค์
    จัดลำดับความสำคัญของเวลาสำหรับเล่น การสำรวจในร่มและกลางแจ้งอย่างปลอดภัย และการโต้ตอบแบบเห็นหน้ากัน ใช้รถเข็นเด็กเพื่อการพักสำหรับพ่อแม่ เช่น ในช่วงเวลาที่ลูกงีบหลับ ระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ทำธุระ 
  • ตอบสนองต่อลูกของคุณ
    สังเกตสัญญาณของลูก หากมีอาการเบื่อหรือหงุดหงิดในรถเข็น ถึงเวลาพาเจ้าตัวเล็กออกไปเล่นและสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว

เด็กแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตลูกของคุณและปรับการใช้งานรถเข็นเด็กให้เหมาะสม

ไอเดียการใช้รถเข็นเด็กและกิจกรรมต่างๆ

baby stroller

กิจกรรมกลางแจ้ง

  • ปิกนิก
    พาลูกไปปิกนิกในสวนสาธารณะ วางผ้าปูรองบนพื้นหญ้า นั่งเล่นกับลูกบนรถเข็น หรือหากลูกน้อยอยากสำรวจ ก็อุ้มลูกออกมานั่งเล่น นอนเล่น หรือคลานเล่นบนผ้าปูหรือเสื่อที่เตรียมมา
  • สวนสัตว์
    พาลูกไปเที่ยวสวนสัตว์ นั่งรถเข็นชมสัตว์ต่างๆ และหากลูกเหนื่อยจนผลอยหลับไป ก็เพียงแค่เอนนอนให้ลูกได้นอนในท่าที่สบายที่สุด
  • วิ่งจ๊อกกิ้ง
    เปลี่ยนจากการเดินเล่นกับลูกเป็นการวิ่งจ๊อกกิ้ง พร้อมเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในรถเข็น เพื่อชมวิวทิวทัศน์ด้วยความเร็วที่เปลี่ยนไป ลูกอาจจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะลมที่เข้ามาปะทะหน้าอาจสนุกสนานสำหรับเขา
  • ตลาด
    พาลูกไปตลาด นั่งรถเข็นช้อปปิ้ง หากซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้น ก็วางในตะกร้าของรถเข็นเด็กได้เลย บางรุ่นมีตะกร้าที่จุของได้เยอะ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนรถเข็นไปมา 

กิจกรรมในร่ม

  • ห้างสรรพสินค้า
    พาลูกไปเดินห้าง นั่งรถเข็นช้อปปิ้ง แน่นอนว่าการเดินห้างสำหรับพ่อแม่นั้นไม่ได้เพียงแค่เดินอย่างเดียว ถุงช็อปปิ้งก็สามารถแขวนกับรถเข็นของลูกได้ด้วย สะดวกไปเลย
  • พิพิธภัณฑ์
    พาลูกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ นั่งรถเข็นชมงานแสดง เพราะในบางครั้งก็ใช้เวลาเดินดูเดินเที่ยวไม่ใช่น้อย นอกจากพ่อแม่จะไม่ต้องอุ้มลูกให้เมื่อยแล้ว รถเข็นเด็กที่ได้มาตรฐาน ยังทำให้ทัศนียภาพของลูกนั้นเหมาะสมกับการท่องเที่ยวอีกด้วย
  • ห้องสมุด
    พาลูกไปอ่านหนังสือ นั่งรถเข็นเลือกหนังสือ โดยส่วนมากห้องสมุดอาจไม่มีเก้าอี้เด็ก และการให้ลูกได้นั่งในรถเข็นที่สบายที่สุดสำหรับเขา เป็นการส่งเสริมการอ่านได้เป็นอย่างดี 

เลือกรถเข็นเด็กที่มีมาตรฐาน มั่นคง แข็งแรง เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม เช่น ผ้าอ้อม ทิชชู่เปียก น้ำดื่ม ขนม และเลือกทำกิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ทำกิจกรรมที่ลูกสนใจ ช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ พัฒนาทักษะต่างๆ และสร้างความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก ไอเดียเหล่านี้ เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น พ่อแม่สามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับลูกและสถานการณ์ เปลี่ยนการใช้รถเข็นเด็กให้เป็นช่วงเวลาสนุกสนานและสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูก

ไอเดียตกแต่งรถเข็นเด็กและแกดเจ็ต

1. ผ้าคลุมรถเข็น 

เลือกผ้าลายการ์ตูน ผ้าสีสันสดใส หรือผ้าลวดลายน่ารักๆ ประดับผ้าคลุมรถเข็นด้วยตุ๊กตา ดอกไม้ โบว์ ริบบิ้น หรือสิ่งที่ลูกชอบ โดยไม่ต้องกำหนดว่าผู้หญิงจะชอบสีชมพู หรือผู้ชายจะชอบสีฟ้าเท่านั้น แต่คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยสามารถใส่ไอเดียเข้าไปได้เต็มที่

2. โมบายล์

จะเลือกเป็นการประดิษฐ์โมบายล์จากวัสดุเหลือใช้ เช่น กระดาษแข็ง ผ้าสักหลาด หรือริบบิ้น หรือโมบายล์ที่มีขายอยู่แล้ว ก็ไม่ผิดแปลกอะไรทั้งนั้น เพียงแขวนโมบายล์ไว้บนหลังคาของรถเข็น ให้ลูกนอนดู นอนเล่น เวลาที่เบื่อๆ เจ้าตัวเล็กก็อาจจะอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง

3. สติ๊กเกอร์

ไม่ใช่แค่รถคันนี้สีแดง หรือวลีฮิตติดหูท้ายรถบรรทุกเท่านั้น แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถดีไซน์ การติดสติ๊กเกอร์ลายการ์ตูน สัตว์ต่างๆ หรือตัวอักษรบนรถเข็น หรือแม้แต่จะเป็นการวาดรูปบนสติ๊กเกอร์ใสแล้วติดบนรถเข็นของลูกก็ได้เช่นกัน แม้ลูกจะมองไม่เห็น แต่คุณพ่อคุณแม่อาจจะอยากสร้างเอกลักษณ์ไว้บนรถเข็นแทนลูกก็ได้

4. ที่วางโทรศัพท์มือถือสำหรับพ่อแม่

ช่วยให้ดูแผนที่ ฟังเพลง หรือรับโทรศัพท์ได้สะดวก เลือกแบบที่ติดตั้งง่ายและปลอดภัย แต่ไม่ใช่ติดไว้เพื่อให้ลูกดูฆ่าเวลา เนื่องจากอายุเด็กที่เริ่มในการดูจอนั้น ยิ่งยืดออกไปนานเท่าไหร่ได้ยิ่งดีต่อสายตาและพัฒนาการของลูก

5. ไฟ LED

หากไม่ใช่เพื่อความเก๋ไก๋ ก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเดินในเวลากลางคืน ควรเลือกแบบที่ติดตั้งง่ายและกันน้ำ ติดตั้งบริเวณข้างล่าง ก็จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เห็นในเวลากลางคืนได้ว่า ข้างหน้าที่กำลังจะเข็นลูกไปนั้นมีหลุมหรือมีอะไรขวางทางอยู่หรือไม่

6. พัดลม

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย หากคุณอยู่ในประเทศไทย คือพัดลม เพื่อช่วยให้ลูกเย็นสบายในสภาพอากาศร้อน เลือกแบบที่มีเสียงรบกวนน้อย บ้านไหนที่มีลูกขี้ร้อน พัดลมตัวเดียวอาจจะเอาไม่อยู่ ก็เพิ่มเป็นตัวที่ 2-3 เข้ามาได้เลย เพียงต้องดูให้ปลอดภัยว่าเป็นพัดลมที่ลูกจะไม่สามารถเอานิ้วเข้าไปได้ หรือใบพัดไม่ได้พัดแรงมาก 

7. ระบบ GPS
มีไว้ก็ดีกับการติดตามตำแหน่งของรถเข็น ในกรณีที่พ่อแม่อาจจะลืมรถเข็นไว้ตอนที่จอดไว้ข้างนอกแล้วอุ้มลูกอยู่ หรือหาไม่เจอในกรณีที่มีรถเข็นแบบเดียวกันอยู่เยอะ ทั้งนี้ยังช่วยได้มากในกรณีที่ถูกขโมยอีกด้วย แต่ไม่ควรจะลืมลูกไว้ในรถเข็นนะคะ

8. เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ

เพื่อการตรวจสอบอุณหภูมิภายในรถเข็น ช่วยให้ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับลูก ในกรณีที่ปิดหลังคาลงมาเยอะ หรือใช้ผ้าคลุมระหว่างที่ลูกนอนหลับอยู่ หรือแม้แต่การใช้มุ้งเพื่อกันยุงให้ลูก อาจจะทำให้อากาศในรถเข็นเด็กถ่ายเทได้น้อย มีเอาไว้เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าอุณหภูมิไม่สูงไปหรือต่ำไปจนทำให้ลูกไม่สบายตัว

ข้อควรระวัง

  • เลือกวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของตกแต่งที่มีชิ้นเล็กๆ ที่อาจหลุดลอกและเด็กกลืนติดคอได้
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าของตกแต่งไม่บดบังทัศนวิสัยของเด็ก

เปรียบเทียบรถเข็นเด็ก แบรนด์จากแต่ละประเทศ

ประเทศไทย

  • แบรนด์: CAMERA, FICO, COOPER, GLOWY
  • ราคา: 3,000 – 20,000 บาท
  • จุดเด่น: ราคาถูก หาซื้อง่าย มีหลายรุ่นให้เลือก
  • จุดด้อย: คุณภาพอาจไม่ดีเท่าแบรนด์จากต่างประเทศ ฟังก์ชั่นไม่หลากหลาย

ญี่ปุ่น

  • แบรนด์: Combi, Aprica, Pigeon
  • ราคา: 10,000 – 30,000 บาท
  • จุดเด่น: คุณภาพดี ทนทาน ดีไซน์สวยงาม ฟังก์ชั่นครบครัน
  • จุดด้อย: ราคาสูง

เกาหลี

  • แบรนด์: Seec, KEENZ, DAIICHI
  • ราคา: 8,000 – 40,000 บาท
  • จุดเด่น: ดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชั่นครบครัน ราคาไม่แพง
  • จุดด้อย: คุณภาพอาจไม่ดีเท่าแบรนด์จากญี่ปุ่น

จีน

  • แบรนด์: Baobaohao, Bowei
  • ราคา: 3,000 – 15,000 บาท
  • จุดเด่น: ราคาถูก ฟังก์ชั่นครบครัน
  • จุดด้อย: คุณภาพอาจไม่ดีเท่าแบรนด์จากประเทศอื่นๆ ความปลอดภัยอาจไม่แน่นอน

อเมริกา

  • แบรนด์: Evenflo, Graco, Britax, BOB Gear, Mockingbird, ergobaby
  • ราคา: 15,000 – 40,000 บาท
  • จุดเด่น: คุณภาพดี ทนทาน ฟังก์ชั่นครบครัน มาตรฐานความปลอดภัยสูง
  • จุดด้อย: ราคาสูง

อังกฤษ

  • แบรนด์: JOIE, iCandy, Silver Cross
  • ราคา: 9,000 – 20,000 บาท
  • จุดเด่น: คุณภาพดี ทนทาน ฟังก์ชั่นครบครัน มาตรฐานความปลอดภัยสูง
  • จุดด้อย: ราคาสูง

ฝรั่งเศส

  • แบรนด์: BABYZEN, Looping, babyride
  • ราคา: 15,000 – 40,000 บาท
  • จุดเด่น: ดีไซน์เรียบหรู ทนทาน ฟังก์ชั่นครบครัน
  • จุดด้อย: ราคาสูง 

เยอรมัน

  • แบรนด์: Recaro, Bugaboo, BRONCO, Qplay, GB, hauck
  • ราคา: 10,000 – 50,000 บาท
  • จุดเด่น: หาซื้อง่าย ดีไซน์สวยงาม ทนทาน คุณภาพดีเยี่ยม มาตรฐานความปลอดภัยสูง
  • จุดด้อย: ราคาสูง 

สรุป

  • ราคา รถเข็นเด็กจากประเทศไทย จีน และเกาหลี มีราคาถูกกว่ารถเข็นเด็กจากประเทศอื่นๆ
  • คุณภาพ รถเข็นเด็กจากญี่ปุ่น เยอรมัน และฝรั่งเศส มีคุณภาพดี ทนทาน
  • ฟังก์ชั่น รถเข็นเด็กจากประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และเยอรมัน มีฟังก์ชั่นครบครัน
  • ความปลอดภัย รถเข็นเด็กจากประเทศอเมริกา เยอรมัน และฝรั่งเศส มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง

แบรนด์รถเข็นเด็กจากประเทศเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี 1923 มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และดีไซน์ที่เรียบหรู สร้างสรรค์โดยมีแนวคิดที่ว่า จากครอบครัวของเราถึงของคุณ

ราคา: 10,000 – 30,000 บาท แล้วแต่รุ่น

จุดเด่น

  • คุณภาพดี ทนทาน ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
  • ความปลอดภัย ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสูงจากเยอรมนี
  • ดีไซน์เรียบหรู สวยงาม ทันสมัย เหมาะกับเด็กทุกเพศ
  • ฟังก์ชั่นครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
  • หาซื้อง่าย

hauck เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหารถเข็นเด็กคุณภาพสูง ทนทาน ปลอดภัย และดีไซน์สวยงาม ฟังก์ชั่นครบครัน คุ้มค่ากับการใช้งาน

Colibri รถเข็นเด็กที่น้ำหนักเบา พกพาสะดวก เหมาะสำหรับทารกแรกเกิด จนถึงเด็กวัย 4 ขวบ รองรับน้ำหนักได้ถึง 25 กิโลกรัม มาพร้อมที่วางแก้วน้ำ

คุณสมบัติเด่น

1. น้ำหนักเบา

  • เพียง 6.9 กิโลกรัม พกพาสะดวก เหมาะกับการเดินทาง
  • ปรับเข็นได้ 2 ด้าน หันหน้าลูกออก หรือหันหน้าลูกให้เห็นพ่อแม่
  • ปรับเอนได้ 108 – 170 องศา
  • ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด – 4 ขวบ หรือน้ำหนัก 25 กิโลกรัม
  • โครงสร้างอลูมิเนียม แข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา
  • ระบบพับแบบร่ม พับเก็บง่าย ประหยัดพื้นที่ ด้วยมือเพียงข้างเดียว
  • ตะกร้าขนาดใหญ่ จุของได้เยอะ

2. กะทัดรัด

  • พับเก็บง่าย ประหยัดพื้นที่
  • ขนาดกะทัดรัด เมื่อพับเก็บ 
  • เหมาะกับการเก็บในรถยนต์ หรือบนเครื่องบิน

3. คล่องตัว

  • ล้อหน้าหมุนได้ 360 องศา ล็อกได้ ควบคุมง่าย 
  • ล้อหลังลื่นไหล เหมาะกับทุกสภาพถนน
  • ระบบกันสะเทือน ช่วยให้เด็กนั่งสบาย ไม่สะเทือน

4. สะดวกสบาย

  • มือจับ ปรับระดับความสูง-ต่ำได้ 
  • เบาะรองนั่ง นุ่ม ระบายอากาศได้ดี ถอดซักได้
  • พนักพิง ปรับเอนได้หลายระดับ รองรับการนอนหลับ
  • ที่วางขา ปรับระดับได้ รองรับการนอนหลับ
  • หลังคา ปรับระดับได้ กันฝน กันแดด กัน UPF 50+ 

5. ปลอดภัย

  • สายรัดนิรภัย 5 จุด ล็อก 5 จุด ปลอดภัย
  • เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ล็อก 3 จุด

รถเข็นเด็ก รุ่น Colibri

Original price was: ฿25,900.00.Current price is: ฿19,900.00.

• น้ำหนักเบา เพียง 6.9 กิโลกรัม • สามารถเข็นได้ทั้ง2ด้า…

สั่งซื้อสินค้า

เลือกซื้อรถเข็นเด็กที่มีคุณภาพ

Share this post